วันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2556
วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2556
อนุทินที่ 2
อนุทินที่ 2
1.ใครเป็นผู้ขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ
ฉบับแรกและมีเหตุผลอย่างไร และประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาเป็นอย่างไร
จงอธิบาย
ตอบ สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกฯ
พระปกเกล้าเจ้าอยู่-หัว รัชกาลที่ 7 มีเหตุผลดังนี้ “บัดนี้การศึกษาสูงขึ้นแล้ว
มีข้าราชการประกอบด้วยวุฒิปรีชาในรัฐาภิปาลนโยบายสามารถนำประเทศของตน ในอันที่จะก้าวหน้าไปสู่สากลอารยธรรมแห่งโลกโดยสวัสดี
สมควรแล้วที่จะพระราชทานพระบรมวโรกาส ให้ข้าราชการและประชาชนของพระองค์
ได้มีส่วนมีเสียงตามความเห็นดีเห็นชอบในการจรรโลงประเทศสยามให้วัฒนาการในภายภาคหน้า” ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาคือหมวด 2 สิทธิและหน้าที่ของชนชาวสยาม มาตรา 14
ภายในบังคับแห่งกฎหมายบุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ภายในร่างกายเคหสถาน ทรัพย์สิน
การพูด การเขียน การโฆษณา การศึกษาอบรม
2.แนวนโยบายแห่งรัฐในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา
ของรัฐธรรมนูญฯ พุทธศักราช 2492 ได้กำหนดอย่างไร อธิบาย
ตอบ ดิฉันคิดว่า เมื่อปีพุทธศักราชที่ 2492 ได้กำหนดเกี่ยวกับการศึกษาดังนี้คือได้กำหนดเสรีภาพให้กับประชาชนเกี่ยวกับการศึกษาและได้จัดสรรสถานศึกษาทั้งของรัฐและของรัฐ
-บาล
ให้ความเสมอภาคกับบุคคลในการเข้ารับการศึกษาตามความสามารถของบุคคลนั้นๆ
ให้บุคคลมีหน้าที่รับการศึกษาอบรมชั้นประถมศึกษาทำให้พลเมืองมีความรู้ความสามารถที่จะประกอบอาชีพมีจิตใจเป็นประชาธิปไตย
รัฐจะส่งเสริมและบำรุงการศึกษาอบรมของสถานศึกษาที่อยู่ภายในการควบคุมดูแลและการศึกษาชั้นประถมศึกษาในสถานศึกษาของรัฐและของเทศบาลจะต้องจัดให้โดยไม่เก็บค่าเล่าเรียนรัฐจะต้องช่วยเหลือในด้านอุปกรณ์การศึกษาและการค้นคว้าในทางศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์
3. เปรียบเทียบแนวนโยบายแห่งรัฐประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาของรัฐธรรมนูญฯ
พุทธศักราช 2511 พุทธศักราช 2517 และ
พุทธศักราช 2521 เหมือนหรือต่างกันอย่างไร อธิบาย
ตอบ ดิฉันคิดว่า รัฐธรรมนูญฯพุทธศักราช 2511และพุทธศักราช 2521 จะมีความเหมือนกันในหมวดที่ 5 แนวนโยบายแห่งรัฐ มาตรา 60
รัฐพึงส่งเสริมและบำรุงการศึกษาอบรมและการฝึกอบรมตามความเหมาะสมและความต้องการของประเทศ
การจัดระบบการศึกษาอบรมเป็นหน้าที่ของรัฐโดยเฉพาะ
สถานศึกษาทั้งปวงย่อมอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของรัฐ
รัฐพึงช่วยเหลือผู้ยากไร้ให้ได้รับทุนและปัจจัยต่าง ๆ ในการศึกษาอบรมและการฝึกอาชีพ
การศึกษาอบรมภาคบังคับในสถานศึกษาของรัฐ จะต้องจัดให้โดยไม่เก็บค่าเล่าเรียน
การศึกษาอบรมขั้นอุดมศึกษา
รัฐพึงจัดให้สถานศึกษาดำเนินกิจการของตนเองได้โดยอิสระภายในขอบเขตที่กฎหมายบัญญัติ มาตรา 61
รัฐพึ่งสนับสนุนการวิจัยในศิลปะและวิทยาการต่าง ๆ และพึงส่งเสริมการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการพัฒนาประเทศและมาตรา
4.ประเด็นที่ 1 รัฐธรรมนูญฯ พุทธศักราช 2475-2490 ประเด็นที่ 2 รัฐธรรมนูญฯพุทธศักราช 2549-2517 ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาเหมือนหรือต่างกันอย่างไร อธิบาย
ตอบ การศึกษาเมื่อปีพุทธศักราช
2475-2490 และ พุทธศักราช 2549-2517 มีความแตกต่างกัน ดังนี้
พุทธศักราช 2475-2490 คือ
การศึกษาขึ้นอยู่กับสิทธิเสรีภาพของประชาชนโดยมีการควบคุมการศึกษาโดยหน่วยงานต่างๆ
แต่ให้เสรีภาพในการศึกษาไม่บังคับอะไรมากมาย แต่ก็จำเป็นต้องศึกษา
พุทธศักราช 2549-2517 คือ
การศึกษาเริ่มเป็นระบบมากขึ้น มีหน่วยงานของรัฐบาลให้ความช่วยเหลือในการศึกษาทั้งในเรื่องของ
ทุนการศึกษา และมีการบังคับให้ศึกษาตามระบบมีกฎหมายเกี่ยวกับการศึกษาที่แน่นอน
และมีบทลงโทษสำหรับบุคคลที่ไม่สนใจในการศึกษา
5. ประเด็นที่ 3 รัฐธรรมนูญฯ
พุทธศักราช 2521-2534 ประเด็นที่ 4 รัฐธรรมนูญฯพุทธศักราช
2540-2550 ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาเหมือนหรือต่างกันอย่างไร
อธิบาย
ตอบ การศึกษาเมื่อปีพุทธศักราช 2521-2534 และ พุทธศักราช
2540-2550 มีความแตกต่างกัน ดังนี้
พุทธศักราช 2521-2534 คือ
รัฐพึงส่งเสริมการศึกษาและบำรุงการศึกษาอบรม การจัดระบบการศึกษาอบรมเป็นหน้าที่ของรัฐโดยเฉพาะสถานศึกษาทั้งปวงย่อมอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของรัฐ
แต่ในปี
พุทธศักราช 2540-2550 คือ
การศึกษาหรือบุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาไม่น้อยกว่า 12 ปี
ที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ ที่แตกต่างกันก็คือ
เมื่อปีพุทธศักราช 2521-2534 การศึกษาไม่บังคับ แต่เมื่อพุทธศักราช 2540-2550
การศึกษามีการบังคับการศึกษา
6.เหตุใดรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับจะต้องระบุในประเด็นที่รัฐจะต้องจัดการศึกษาอย่างเป็นธรรมและทั่วถึง
อธิบาย
ตอบ สาเหตุที่รัฐธรรมนูญต้องระบุใน ประเด็นการศึกษาอย่างเป็นธรรมและทั่วถึงก็เพราะรัฐธรรมนูญต้องการให้การศึกษาของไทยเป็นไปอย่างมีระบบ
และต้องการให้มีการศึกษาที่สอดคล้องกันและมีการบังคับการศึกษาที่แน่นอนเพื่อให้หน่วยงานของรัฐรับผิดชอบในด้านต่างๆเกี่ยวกับการศึกษา
นี่คือประเด็นที่รัฐธรรมนูญต้องจัดประเด็นการศึกษาอย่างเป็นทางการและมีทุกพุทธศักราชที่พูดเกี่ยวกับการศึกษา
7.เหตุใดรัฐจึงต้องกำหนด “บุคคลมีหน้าที่รับการศึกษาอบรมตามเงื่อนไขและวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ” จงอธิบาย
หากไม่ปฏิบัติจะเกิดอะไรขึ้น
ตอบ เหตุผลที่รัฐบาลต้องกำหนด บุคคลให้มีการศึกษา
ก็เพราะ ต้องการให้คนมีการศึกษาติดตัวไป
และต้องการให้มีความรู้เพื่อที่จะประกอบอาชีพและการทำงานหากรัฐไม่กำหนดบุคคลให้มีการศึกษา
ปัญหาที่จะเกิดขึ้นก็คือ
ทำให้การศึกษาไทยตกต่ำและมีปัญหาในการทำงานหรือหน่วยงานต่างๆไม่ยอมรับบุคคลที่ขาดความรู้เข้าทำงานในสถานที่ต่างๆหรือพูดเป็นภาษาบ้านๆว่าทำให้คนโง่
หากรัฐไม่กำหนดให้บุคคลมีหน้าที่จะต้องศึกษา
8.การจัดการศึกษาที่เปิดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาหากเราพิจารณารัฐธรรมนูญมีฉบับใดบ้างที่ให้องค์กรส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วม
และถ้าเปิดโอกาสให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วมมากขึ้นท่านคิดว่าเป็นอย่างไร จงอธิบาย
ตอบ
รัฐธรรมนูญเกือบทุกฉบับที่สนับสนุนให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา
และหากเปิดโอกาสให้องค์กรส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา
คิดการศึกษาก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่เพราะองค์กรส่วนท้องถิ่นสามารถตีโจทย์ความต้องการของประชาชนหรือความต้องการของลูกหลานได้ว่าต้องการศึกษาในรูปแบบใด
นี่คือส่วนหนึ่งที่ดีในการจัดการให้องค์กรมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา
9.เหตุใดการจัดการศึกษา
รัฐต้องคุ้มครองและพัฒนาเด็กและเยาวชน ส่งเสริมความเสมอภาคทั้งหญิงและชาย
พัฒนาความเป็นปึกแผ่นของครอบครัว และความเข็มแข็งของชุมชน สังเคราะห์ผู้ยากไร้
ผู้พิการหรือทุพพลภาพและผู้ด้อยโอกาส จงอธิบาย
ตอบ สำหรับสาเหตุที่รัฐจะต้องจัดการศึกษาให้คุ้มครองและพัฒนาเด็กและเยาวชน
ส่งเสริมการศึกษาให้เท่าเทียบกันก็เพราะว่า
รัฐต้องการเห็นคนทุกประเภทมีความรู้ความสามารถในทุกระดับโดยไม่ตั้งข้อแบ่งแยกกับทุกคนที่ขาดทุนในการศึกษา
และประเด็นที่สำหรับที่รัฐต้องทำเพราะรัฐต้องการให้การศึกษาของไทยและคนไทยมีความรู้
ความสามัคคีกันในทุกๆระดับการศึกษา
10.ผลการจัดการศึกษาที่ผ่านมาของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน
มีผลต่อการพัฒนาประเทศอย่างไรบ้าง จงอธิบาย
ตอบ สำหรับรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีผลต่อการพัฒนาประเทศคือ
ทำให้ประเทศเป็นระบบระเบียบและมีกฎหมายเอาผิดสำหรับบุคคลที่ทำผิดกฎหมาย
จึงทำให้การพัฒนาประเทศเป็นไปอย่างง่ายดายและมั่นคงมีการศึกษาที่เน้นให้คนในประเทศมีการศึกษาที่แน่นอน และมีการบังคับให้การศึกษาอยู่ในระดับใด ดั้งนั้นการพัฒนาประเทศจะเริ่มต้นได้จาก
ผู้ปกครองประเทศร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ
หากพัฒนาด้านใดด้านหนึ่งอีกด้านก็จะดีไปด้วย
วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2556
อนุทินที่ 1
อนุทินที่ 1
1. ท่านคิดว่าทำไมมนุษย์เราต้องมีกฎหมายหากไม่มีจะเป็นอย่างไร
ตอบ - ข้าพเจ้าคิดว่ามนุษย์เราต้องมีกฎหมายในการดำเนินชีวิตเพื่อเป็นข้อบังคับในการอยู่ร่วมกันเป็นสังคม
หรือในกลุ่มคนหมู่มากเพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวาย
- หากไม่มีกฎหมายบ้านเมืองก็จะ
ไม่มีความสงบสุขมีแต่ความวุ่นวายขาดความเป็นระเบียบเรียบร้อยและผู้คนจะมีการละเมินสิทธิของคนแต่ละคนในสังคม
2. ท่านคิดว่าสังคมปัจจุบันจะอยู่ได้หรือไม่หากไม่มีกฎหมายและจะเป็นอย่างไร
ตอบ - ข้าพเจ้าคิดว่าในสังคมปัจจุบันอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีกฎหมายในการควบคุมหรือข้อบังคับเนื่องจากสังคมปัจจุบัน
มีการแข่งขันกันมากและทำทุกอย่างเพื่อให้ตนเองได้รับประโยชน์จากหน้าที่การงานหรือจากหน่วยงานต่างคนที่มีอำนาจจะทำอะไรก็ได้เพื่อให้ตนเองได้รับประโยชน์ส่วนคนที่ไม่มีอำนาจก็จะไม่มีสิทธิเสรีภาพเท่ากัน
3. ท่านมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายในประเด็นใดต่อไปนี้
ตอบ - ก. ความหมาย
4. ท่านมีความคิดเห็นอย่างไร
ว่าทำไมทุกประเทศจำเป็นต้องมีกฎหมาย จงอธิบาย
ตอบ - ข้าพเจ้าคิดว่าทุกประเทศจำเป็นต้องมีกฎหมายเพื่อเป็นเป็นกฎข้อบังคับในการอยู่ร่วมกันของคนในประเทศเพื่อความเรียบร้อยและความสงบสุข
อีกทั้งกฎหมายของแต่ละประเทศจะบังคับบุคคลที่อยู่ในประเทศและบุคคลต่างที่เข้ามาอยู่ในประเทศด้วย
5. สภาพบังคับในทางกฎหมายท่านมีความเข้าใจอย่างไร
จงอธิบาย
ตอบ - ข้าพเจ้าคิดว่าสภาพบังคับทางกฎหมาย
คือการที่บุคคลต้องปฎิบัติตามกฎหมายที่กำหนดหากไม่ปฎิบัติตาม
ก็จะมีบทลงโทษทางกฎหมายที่บุคคลไม่ปฎิบัติตาม
6. สภาพบังคับกฎหมายในอาญาและทางแพ่ง
มีความหมายเหมือนหรือต่างกันอย่างไร
ตอบ - ความเหมือน
คือ บุคคลที่กระทำความผิดจะถูกลงโทษทางกฎหมายที่กำหนด
-ความแตกต่าง คือ
ในการลงโทษทางกฎหมายอาญาและแพ่งจะมีบทลงโทษหรือข้องดเว้นที่แตกต่างกัน
คือกฎหมายอาญาจะลงโทษโดยการรอลงอาญา การปรับ การจำคุก แต่กฎหมายแพ่ง มีบทลงโทษ
โดยการชดเชยค่าสินใหม่ทดแทนหรือค่าเสียหาย หรือการชำระหนี้
7. ระบบกฎหมายเป็นอย่างไร
จงอธิบาย
ตอบ - ระบบกฎหมายแบ่งตามตำราใช้ว่า
สกุลกฎหมายที่ใช้ในประเทศต่างๆแบ่งเป็น 2 ระบบคือ
1.ระบบซีวิลลอร์
หรือระบบลายลักษณ์อักษร
กฎหมายลายลักษณ์อักษรจะมีความสำคัญมากกว่าคำพิพากษาของศาลเพื่อเป็นบรรทัดฐานแบบอย่างในการตีความกฎหมาย
และการวินิจฉัยคดีผู้พิพากษาจะเป็นผู้ตัดสินชี้ขาด
2. ระบบคอมมอนลอว์
เป็นการพัฒนามาจากกฎหมายที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรนำเอาจารีตประเพณีและคำพิพากษามาเป็นบรรทัดฐานของศาล การวินิจฉัยต้องอาศัยคณะลูกขุนเป็นผู้ตัดสินชี้ขาด
8. ประเภทของกฎหมายมีหลักการแบ่งเป็นอย่างไรบ้าง
มีกี่ประเภท แต่ละประเภทประกอบด้วยอะไรบ้าง ยกตัวอย่างอธิบาย
ตอบ - ประเภทของกฎหมายที่จะศึกษาแบ่งได้เป็น
3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1. ประเภทแบ่งตามระบบหรือที่มาของกฎหมาย
2. ประเภทแบ่งตามลักษณะการใช้กฎหมาย
3. ประเภทแบ่งตามบทบัญญัติในกฎหมายที่มีความสัมพันธ์กับประชาชน
1. ระบบลายลักษณ์อักษร (Civil
law System) ประเทศไทยใช้ระบบนี้เป็นหลัก
กระบวนการจัดทำกฎหมายมีขั้นตอนที่เป็นระบบ มีการจดบันทึก
มีการกลั่นกรองของฝ่ายนิติบัญญัติคืรัฐสภา
มีการจัดหมวดหมู่กฎหมายของตัวบทและแยกเป็นมาตรา เมื่อผ่านการกลั่นกรองจากรัฐสภาแล้ว จะประกาศใช้เป็นกฎหมายโดยราชกิจจานุเบกษา
กฎหมายลายลักษณ์อักษรนี้ ได้แก่ กฎหมายรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด
พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง
2.
ระบบไม่เป็นลายลักษณ์อักษรหรือจารีตประเพณี ( Common Law System) เป็นกฎหมาย ที่มิได้มีการจัดทำเป็นลายลักษณ์อักษร
ไม่มีการจัดเป็นหมวดหมู่ และไม่มีมาตรา
หากแต่เป็นบันทึกความจำตามขนบธรรมเนียมประเพณีที่ใช้กันต่อๆมา
ตั้งแต่บรรพบุรุษรวมทั้งบันทึกคำพิพากษาของศาลที่พิพากษาคดีมาแต่ดั้งเดิม
ประเทศที่ใช้กฎหมายจารีตประเพณีหรือไม่เป็นลายลักษณ์อักษรได้แก่
ประเทศอังกฤษและประเทศทั้งหลายในเครือจักรภพของอังกฤษ
1. กฎหมายสารบัญญัติ คือ
กฎหมายที่บัญญัติถึงสิทธิและหน้าที่ของบุคคล กำหนด
ข้อบังคับความประพฤติของบุคคลทั้งในทางแพ่งและในทางอาญา โดยเฉพาะในทางอาญา คือ ประมวลกฎหมายอาญา
จะบัญญัติลักษณะการกระทำอย่างใดเป็นความผิดระบุองค์ประกอบความผิดและกำหนดโทษไว้ว่าจะต้องรับโทษอย่างไร
และในทางแพ่ง คือ
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
จะกำหนดสาระสำคัญของบทบัญญัติว่าด้วยนิติสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในฐานะต่าง ๆ
ตามกฎหมาย เช่น นิติกรรม หนี้ สัญญา เอกเทศสัญญา เป็นต้น
2. กฎหมายวิธีสบัญญัติ คือ
กฎหมายที่บัญญัติถึงวิธีการปฏิบัติด้วยการนำเอากฎหมายสารบัญญัติไปใช้ไปปฏิบัตินั่นเอง
เช่น ไปดำเนินคดีในศาลหรือเรียกว่า กฎหมายวิธีพิจารณาความก็ได้ กฎหมายวิธีสบัญญัติ จะกำหนดระเบียบ
ระบบ ขั้นตอนในการใช้ เช่น
กำหนดอำนาจเจ้าหน้าที่ของรัฐในการดำเนินคดีอาญาต่อผู้ต้องหา วิธีการร้องทุกข์
วิธีการสอบสวนวิธีการนำคดีที่มีปัญหาฟ้องต่อศาล วิธีการพิจารณาคดีต่อสู้คดี
ในศาลรวมทั้งการบังคับคดีตามคำสั่ง หรือคำพิพากษาของศาล เป็นต้น กฎหมายวิธีสบัญญัติ
จะกำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเป็นหลัก
1. กฎหมายมหาชน เป็นกฎหมายที่รัฐตราออกใช้กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับ
ประชาชนการบริหารประเทศ
รัฐมีฐานะเป็นผู้ปกครองประชาชนด้วยการออกกฎหมายและให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎหมาย
เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยแก่สังคม
จึงตรากฎหมายประเภทมหาชนซึ่งเกี่ยวข้องกับประชาชนเป็นส่วนรวมทั้งประเทศ
และทุกคนต้องปฏิบัติตามกฎหมายการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายจะมีผลกระทบต่อบุคคลของประเทศเป็นส่วนรวม
จึงเรียกว่า กฎหมายมหาชน กฎหมายประเภทนี้ ได้แก่ กฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายปกครอง
เช่น พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน กฎหมายอาญา เป็นต้น
2. กฎหมายเอกชน เป็นกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนกับเอกชน ด้วยกันเอง
เป็นความสัมพันธ์ในเรื่องสิทธิและหน้าที่ระหว่างคู่สัญญา คือ เอกชนด้วยกันเอง
รัฐไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย เพราะไม่มีผลกระทบต่อสังคมส่วน รวม จึงให้ประชาชนมีอิสระกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างกันภายในกรอบของกฎหมายเพื่อคุ้มครองความเสมอภาคมิให้เอาเปรียบต่อกันจนเกิดความไม่เป็นธรรมขึ้นต่อ การดำรงชีวิตประจำวัน
กฎหมายเอกชน ได้แก่ กฎหมายแพ่งทั้งหลายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นต้น
3. กฎหมายระหว่างประเทศ คือ
กฎหมายที่มีกฎเกณฑ์ข้อบังคับเกิดจากความตกลงกัน ระหว่างประเทศ
กฎหมายระหว่างประเทศแยกตามลักษณะความเกี่ยวพันประเภทใหญ่ ๆ ได้ 3 ประเภท คือ
กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล และกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญา
9. ท่านเข้าใจถึงคำว่าศักดิ์ของกฎหมายคืออะไร
มีอย่างไรบ้าง
ตอบ - ศักดิ์ของกฎหมายคือ
การจัดลำดับแบ่งค่าบังคับของกฎหมายเกณฑ์ที่ใช้กำหนดศักดิ์ของกฎหมายพิจารณาจากองค์กรที่มีอำนาจในการออกกฎหมาย กล่าวคือ
รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายที่ออกโดยรัฐสภา และเป็นการใช้อำนาจในการออกกฎหมายร่วมกันของสองสภา คือ
วุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นองค์กรสูงสุด
รัฐธรรมนูญ คือ กฎหมายสูงสุดที่กำหนดรูปแบบการปกครองและระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตลอดจนสิทธิต่างๆ
ของประชาชนทั้งประเทศ ดังนั้น
รัฐธรรมนูญจึงเป็นกฎหมายที่มีความสำคัญมากกว่ากฎหมายฉบับใด กฎหมายฉบับอื่นจะบัญญัติโดยมีเนื้อหาที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญไม่ได้ หากขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ
กฎหมายฉบับนั้นจะถือว่าไม่มีผลบังคับใช้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่ตราขึ้นในรูปแบบพระราชบัญญัติ ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้บัญญัติให้มีขึ้นอีกรูปแบบหนึ่งในระบบบทกฎหมายไทย
เพื่อกำหนดรายละเอียดซึ่งเป็นกฎเกณฑ์สำคัญเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญฯ
บางมาตราที่บัญญัติหลักการไว้อย่างกว้าง ๆ ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
ให้มีความกระจ่างแจ้ง ชัดเจนและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ตามที่รัฐธรรมนูญมอบหมายและกำหนด
โดยถือว่ากฎหมายประเภทนี้ มีลักษณะและหลักเกณฑ์พิเศษ เป็นกฎหมายลำดับชั้นรองลงมาจากรัฐธรรมนูญ
เพราะพระราชบัญญัติออกมาเป็นกฎหมายโดยอาศัยอำนาจรัฐธรรมนูญโดยตรง
ซึ่งองค์กรที่ทำหน้าทีในการตราพระราชบัญญัติคือ รัฐสภา ดังนั้น
รัฐสภาจะตราพระราชบัญญัติที่มีเนื้อหาที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญไม่ได้พระราชกำหนด พระราชกำหนด ( emergency
decree ) เป็นกฎหมายที่ตราขึ้นโดยฝ่ายบริหารในสถานการณ์อันมีความจำเป็นรีบด่วนเพื่อประโยชน์แห่งรัฐแล้วแต่กำหนดไว้ในกฎหมายแม่ของแต่ละประเทศ
พระราชกำหนดมีอำนาจบังคับเช่นพระราชบัญญัติอันตราขึ้นโดยฝ่ายนิติบัญญัติ พระราชกฤษฎีกา คือ
บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นโดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ หรือพระราชกำหนดเพื่อใช้ในการบริหารราชการแผ่นดิน
โดยคำแนะนำของคณะรัฐมนตรี มีศักดิ์ต่ำกว่ารัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ ประมวลกฎหมาย และพระราชกำหนดการตราพระราชกฤษฎีกา
รัฐมนตรีซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวข้องจะอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ
หรือพระราชกำหนดนั้นๆ เสนอร่างพระราชกฤษฎีกาต่อคณะรัฐมนตรีให้พิจารณา
โดยร่างพระราชกฤษฎีกานั้น จะต้องไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ
หรือพระราชกำหนดที่เกี่ยวข้อง
2. บุคคลมีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมาย
3. บุคคลมีหน้าที่ไปใช้สิทธิของตนเอง
4. บุคคลมีหน้าที่ป้องกันประเทศ
10. เหตุการณ์
เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2555 มีเหตุการณ์ชุมนุมของประชาชน
ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า และประชาชนได้ประกาศว่า จะมีการประชุมอย่างสงบ
แต่ปรากฏว่ารัฐบาลประกาศเป็นเขตพื้นที่ห้ามชุมนุม
และขัดขว้างไม่ให้ประชาชนชุมนุมอย่างสงบ ลงมือทำร้ายร่างกายประชาชน
ในฐานะท่านเรียนวิชานี้ ท่านจะอธิบายบอกเหตุผลว่า รัฐบาลกระทำถูกหรือผิด
ตอบ - ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นการกระทำที่ผิด เพราะ ประชาชนมีสิทธิที่จะเรียกร้องสิทธิของตนเองกันทั้งนั้น
แต่ถ้ารัฐบาลกระทำรุนแรงกับประชาชนแล้วสิทธิของประชาชนจะตั้งไว้เพื่อทำอะไร
เพราะในรัฐธรรมนูญ ระบุอยู่แล้วว่า หน้าที่ของประชาชน
1. บุคคลมีหน้าที่รักษาไว้ซึ่งชาติ
ศาสนา พระมหากษัตริย์และการครองระบอบประชาธิปไตยบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
11. ท่านมีความรู้เกี่ยวกับ
คำว่า กฎหมายการศึกษาอย่างไร จงอธิบาย
ตอบ - ข้าพเจ้าคิดว่ากฎหมายการศึกษา
คือบทบัญญัติข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาและสถาบันหรือหน่วยงานเพื่อให้ปฏิบัติตามและนำไปสู่การพัฒนาบุคคล
สังคมและประเทศชาติเพื่อสิทธิเสรีภาพของบุคคล
12. ในฐานะที่นักศึกษาจะต้องเรียนวิชานี้
ถ้าเราไม่ศึกษากฎหมายการศึกษาท่านคิดว่า เมื่อท่านไปประกอบอาชีพครู
จะมีผลกระทบต่อท่านอย่างไรบ้าง
ตอบ - ในฐานที่นักศึกษาจะต้องเรียนวิชานี้
ถ้าเราไม่ศึกษากฎหมายการศึกษา ข้าพเจ้า
คิดว่าเมื่อไปประกอบอาชีพครูจะมีผลกระทบกับข้าพเจ้ามากเนื่องจากข้าพเจ้าจะไม่มีความรู้ในการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับสภาวะบ้านเมืองปัจจุบัน
และจะปฏิบัติงานได้ไม่ถูกต้องผู้เรียนก็จะได้รับความรู้ที่มีประโยชน์น้อยและเมื่อได้รับประโยชน์น้อยการศึกษาก็จะไม่มีประสิทธิภาพ
ประเทศชาติก็จะไม่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)